โดย admin | พ.ย. 24, 2018 | ข่าวสาร
ก.แรงงาน ตอบโจทย์ ไทยแลนด์ 4.0 ต่อยอดใบอนุญาตทำงานแบบดิจิทัล บนสมาร์ทโฟน ตั้งเป้า ปี ‘62 ใช้ทั่วประเทศ
กระทรวงแรงงาน จับมือ BOI และ ตรวจคนเข้าเมือง เตรียมขยายการให้บริการยื่นคำขออนุญาตทำงาน และออกใบอนุญาตทำงานผ่านระบบ Single Window for Visa and Work Permit สำหรับคน ต่างด้าวที่ทำงานในสถานประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) บนสมาร์ทโฟน อำนวยความสะดวกในการยื่นขออนุญาตทำงาน ลดขั้นตอน ลดเวลาการยื่นเอกสาร ลดเจ้าหน้าที่ ลดเอกสาร และโปร่งใส บนโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน ในพื้นที่ EEC รองรับการลงทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่ พร้อมขยายการบริการครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ ภายในปี 2562 เป้าหมายแรงงานกว่า 45,000 คน
วันที่ 21 พ.ย.61 ที่ห้องประชุม จอมพล ป.พิบูลสงคราม พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดการประชุมชี้แจงนายจ้าง/สถานประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเรื่องการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว โดยมี นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน ผู้บริหารกระทรวงแรงงาน จัดหางานจังหวัด ผอ.สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครเขตพื้นที่ และผู้แทนสถานประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ร่วมประชุมรับฟังการชี้แจง จำนวน 500 คน
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวภายหลังเปิดการประชุมชี้แจงเกี่ยวกับการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวให้กับนายจ้าง/สถานประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (ปี 2560-2579) โดยวางแผนประเทศระยะยาว ภายใต้นโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ที่มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไปสู่เป้าหมาย “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงการยกระดับการให้บริการภาครัฐให้เกิดความเชื่อมโยง แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ลดการใช้เอกสารซ้ำซ้อน มุ่งสู่การเป็น Smart Thailand ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อให้บริการแบบที่เดียว ทันใด ทั่วไทย ทั่วโลก ทุกเวลา
สำหรับการบริการจัดการแรงงานของภาครัฐนั้น กระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจรับผิดชอบการทำงานของแรงงาน ได้เตรียมแรงงานในอนาคตเพื่อรองรับและสอดคล้องกับความต้องการใช้แรงงาน และแนวทางของการพัฒนาประเทศ ซึ่งในปัจจุบันกำลังแรงงานมีความสำคัญต่อการพัฒนา และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะกำลังแรงงานที่เป็นคนต่างด้าว ซึ่งมีอยู่หลายกุล่ม เช่น คนต่างด้าวที่มีทักษะฝีมือ มีความเชี่ยวชาญ เป็นผู้ชำนาญการ นักลงทุน และคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามกฎหมายพิเศษเฉพาะ เช่น กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน กฎหมายว่าด้วยการปิโตรเลียม กฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรม เป็นต้น ในส่วนการทำงานของคนต่างด้าวในประเทศไทยนั้น ปัจจุบันบริหารจัดการภายใต้พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวได้ปรับเปลี่ยนแนวทางการขออนุญาตทำงานให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในปัจจุบัน กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ซึ่งมีหน้าที่ในการพิจารณาอนุญาตทำงานจึงต้องประชาสัมพันธ์ ชี้แจงข้อกฎหมาย และแนวทางปฏิบัติให้นายจ้าง ผู้ประกอบการและผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบ เพื่อทำได้ถูกต้องตามระเบียบที่กำหนด
นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานยังคำนึงถึงนโยบายของรัฐบาลในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มาให้บริการและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยยึดผู้ใช้บริการเป็นศูนย์กลาง ซึ่งปัจจุบันกรมการจัดหางานได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กำหนดกระบวนการยื่นคำขออนุญาตทำงาน และออกใบอนุญาตทำงานผ่านระบบ Single Window for Visa and Work Permit สำหรับคนต่างด้าวที่ทำงานในสถานประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกในการยื่นขออนุญาตทำงาน ลดขั้นตอน ลดเวลาการยื่นเอกสาร ลดเจ้าหน้าที่ ลดเอกสาร มีการพิจารณาที่เป็นมาตรฐานและโปร่งใส สำหรับใบอนุญาตทำงานของคนต่างด้าวนั้น จะไม่เป็นเล่มเอกสารหรือบัตรแข็งอีกต่อไป แต่จะเป็นใบอนุญาตทำงานแบบดิจิตอล (Digital Work Permit) บนโทรศัพท์มือถือแบบสมาร์ทโฟน ซึ่งสะดวกต่อการพกพา สามารถตรวจสอบได้ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ยากต่อการปลอมแปลง และไม่มีการสูญหาย โดยมีเป้าหมายเพื่ออำนวยความสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ รองรับ BOI และตอบโจทย์ “ไทยแลนด์ 4.0” มีขั้นตอนการทำงานคือ เมื่อคนต่างด้าวที่ยื่นคำขออนุญาตทำงานผ่านระบบ Single Window กรมการจัดหางานและ BOI จะพิจารณาอนุญาตในระบบและแจ้งผลการพิจารณาทาง E-mail เมื่อคนต่างด้าวได้รับการอนุญาตแล้วจะต้องมาแสดงตนเพื่อชำระค่าธรรมเนียม และถ่ายรูปลงลายมือชื่อ Digital เพื่อจะได้ Username และ Password เพื่อลงทะเบียนใน Application ชื่อ “Thailand Digital Work Permit” ใช้ได้ทั้งระบบ IOS และ Android ซึ่งเมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วจะปรากฏ Digital Work Permit บนโทรศัพท์มือถือของคนต่างด้าว
ขณะนี้ศูนย์ให้บริการการอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักร และการอนุญาตทำงานให้กับแรงงานในกลุ่ม BOI มี 3 แห่งคือ ที่กรุงเทพมหานคร (จามจุรีสแควร์) จ.เชียงใหม่ และภูเก็ต และได้มีแผนขยายการให้บริการระบบ Single Window ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ซึ่งประกอบไปด้วยจังหวัดระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา สนองนโยบายรัฐบาลมีนโยบายในการเร่งพัฒนาความพร้อมในทุกด้าน เพื่อรองรับการลงทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่ ทั้งด้านสาธารณูปโภค ระบบคมนาคมขนส่ง และโลจิสติกส์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการอำนวยความสะดวกในรูปแบบ One Stop Service เพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจให้มีความสะดวก รวดเร็ว และจะขยายการบริการครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ ภายในปี 2562 สามารถให้บริการแรงงานต่างด้าวที่ทำงานในสถานประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งมีอยู่ประมาณ 22,753 แห่ง แรงงานรวม 83,000 คน เป็นผู้เชี่ยวชาญ ชำนาญการประมาณ 45,000 คน และ กลุ่มแรงงานไร้ฝีมือ 3 สัญชาติ ประาณ 38,000 คน
พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวขอบคุณผู้ประกอบการทุกท่านที่เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาโดยตลอด ขอบคุณสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ที่ได้ร่วมดำเนินการรับคำขออนุญาตทำงาน และออกใบอนุญาตทำงานผ่านระบบ Single Window for Visa and Work Permit และขอให้ผู้ประกอบการทุกท่านร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ก้าวหน้าต่อไป เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในด้านต่างๆ ให้กับนักลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะการจ้างคนต่างด้าวอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งสามารถดำเนินการได้อย่าง สะดวก และรวดเร็ว
ขอบคุณข้อมูลจาก :https://www.doe.go.th/
โดย admin | พ.ย. 3, 2018 | ข่าวสาร
28 อาชีพที่แรงงานต่างด้าว ห้ามทำ มีอะไรบ้าง ลองดูกันเลย
โดยมี 28 อาชีพที่ห้ามคนต่างด้าวทำเด็ดขาด ให้คนต่างด้วยทำได้ 12 อาชีพ 3 แบบ คือ แบบไม่มีเงื่อนไข 1 แบบ แบบมีเงื่อนไข 8 แบบ และและแบบมีเงื่อนไขตามข้อตกลงระหว่างประเทศอาเซียน 3 อาชีพ
โดยในส่วนงานขายของหน้าร้าน ต่างด้าวทำได้ แค่เสิร์ฟและช่วยขายของ แต่ห้ามเก็บหรือทอนเงิน เฝ้าร้านแทนนายจ้างได้แค่ชั่วคราวและต้องมีนายจ้างอยู่ด้วย
ส่วนร้านเสริมสวย ทั้งร้านตัดผม และทำเล็บ ต่างด้าวทำได้แค่ปัดกวาดเช็ดถูภายในร้านและล้างเท้า มือได้เท่านั้น ห้ามตัดผม สระผม ตัดเล็บ ทาเล็บเด็ดขาด

โดย admin | ต.ค. 31, 2018 | ข่าวสาร
กรมการจัดหางาน แจงสถานการณ์การว่างงานไม่น่าห่วง เพราะมีอัตราลดลงทั้งจากเดือนที่แล้ว และช่วงเดียวกันของปีก่อน ระบุอายุ 20-24 ปี เป็นช่วงที่มีผู้ว่างงานมากที่สุด ซึ่งเป็นกลุ่มที่เพิ่งจบการศึกษา และเป็นการลาออกจากงานมากที่สุด พร้อมย้ำ ภาครัฐให้บริการรับสมัครงานหลากหลายช่องทาง
นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวว่า กระทรวงแรงงาน โดยท่าน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ไม่ได้นิ่งนอนใจ ถึงแม้จะพบว่า สถานการณ์การว่างงานไม่ได้เป็นที่น่ากังวล โดยได้สั่งการให้กรมการจัดหางานวางแนวทางช่วยเหลือให้ผู้ว่างงานหลายช่องทางทั้งศูนย์ที่นี่มีงานทำ (Job Ready Center) ที่ตั้งขึ้นเพื่อหางานให้กับผู้จบปริญญาตรี พร้อมทั้งให้คำปรึกษา พัฒนาทักษะฝีมือ แนะแนวอาชีพ และจับคู่ตำแหน่งงาน (Matching) ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการ 11 แห่งทั่วประเทศ คือ จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา และกรุงเทพมหานคร หรือหางานผ่านทาง LINE JOBS ,Job fair, Mobile App รวมทั้งตู้งาน (Job Box) ที่ตั้งกระจายอยู่ทุกจุดทั่วประเทศ ได้เช่นกัน
นางเพชรรัตน์ฯ กล่าวเพิ่มเติมถึงอัตราการว่างงานในเดือนกันยายน 2561 ที่มีคนว่างงานประมาณ 3.73 แสนคน ว่า ปัญหาการว่างงานนั้นไม่ได้รุนแรง และน่ากังวล เพราะหากนำอัตราการว่างงานในเดือนกันยายน 2561 มาเปรียบเทียบกับอัตราการว่างงานในช่วงเดียวกันของปี 2560 จะพบว่ามีคนว่างงานลดลงประมาณ 7 หมื่นคน คือ จาก 4.43 แสนคน เป็น 3.73 แสนคน และที่ช่วงต้นปี 2561 มีอัตราการว่างงานสูงในร้อยละ 1.3-1.2 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.0 นั้น หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า การว่างงานในเดือนกันยายน 2561 จะเป็นผู้ที่ไม่เคยทำงานมาก่อน 1.78 แสนคน และเป็นผู้ที่เคยทำงานมาก่อน 1.95 แสนคน ซึ่งเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการผลิตมากที่สุด รองลงมาเป็นภาคบริการ และภาคเกษตร โดยเหตุผลของการว่างงานพบว่า เป็นการลาออกจากงานมากที่สุดประมาณ 1 แสนคน รองลงมาเป็นนายจ้างปิดกิจการ ประมาณ 3 หมื่นคน และหมดสัญญาจ้างประมาณ 2 หมื่นคน ดังนั้น จากข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาการว่างงานนั้นไม่ได้รุนแรง และน่ากังวล และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนๆ จะพบว่า อัตราการว่างงานปี 2561 ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมามีแนวโน้มต่ำกว่าปี 2559 – 2560
สำหรับช่วงอายุที่มีผู้ว่างงานมากที่สุด คือ 20-24 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ว่างงานคือแรงงานกลุ่มที่เพิ่งจบการศึกษา โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา โดยสาขาวิชาที่ว่างงานมากที่สุดคือพาณิชยศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 20.2 รองลงมา คือ ศึกษาศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 17.1 และสังคมศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 11.7 โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่พร้อมจะทำงานแต่เหตุผลที่ไม่หางานทำเพราะหางานมาแล้วแต่หาไม่ได้ ร้อยละ 79.1 รองลงมาคือ ไม่สามารถหางานที่เหมาะสมได้ร้อยละ 14.6 สะท้อนให้เห็นว่าผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่ยังขาดคุณสมบัติตามที่ตลาดแรงงานต้องการ และส่วนหนึ่งว่างงานเพราะเลือกงาน ขณะที่ผู้ว่างงานในระดับปริญญาตรีอีกกลุ่มหนึ่งนั้น เป็นกลุ่มที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน 22,525 คน หรือร้อยละ 19.59 ว่างงานมาแล้วโดยเฉลี่ย 1-2 เดือน หรือร้อยละ 29.14 โดยเคยทำงานในอาชีพเสมียนทั่วไปมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 13.69 รองลงมาคือ พนักงานขายในร้านค้า คิดเป็นร้อยละ 11.42 และผู้จัดการภัตตาคารและร้านอาหาร คิดเป็นร้อยละ 8.80 โดยสาเหตุที่ออกจากงานส่วนใหญ่มาจากการลาออกเอง คิดเป็นร้อยละ 59.45 รองลงมาคือ เลิก/หยุด/ปิดกิจการ คิดเป็นร้อยละ 8.97 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน นางเพชรรัตน์ฯ กล่าว
โดย admin | ก.ย. 29, 2018 | ข่าวสาร
วันนี้ (23 กันยายน 2561) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยนายเต็งส่วย (H.E.U Thein Swe) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ตรวจคนเข้าเมือง และประชากร สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ร่วมเปิดศูนย์แรกรับเข้าทำงานและสิ้นสุดการจ้างจังหวัดระนอง เพื่อเป็นศูนย์ฯ รับแรงงานเมียนมาเข้าทำงานในภาคประมงทะเลเป็นการเฉพาะ ระบุวันนี้มีแรงงานต่างด้าวในกิจการประมง นำเข้าตาม MOU จำนวน 67 ราย
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว กล่าวว่า รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญในเรื่องของความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนในทุกกลุ่มอาชีพ และมีนโยบายในการบริหารที่มุ่งให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มีรายได้ปานกลางค่อนข้างสูง ใช้ระบบเทคโนโลยีช่วยในการพัฒนา ก้าวสู่ประเทศ 4.0 โดยยึดถือแนวทางตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยในเรื่องของแรงงานต่างด้าว มีเป้าหมายที่จะให้แรงงานต่างด้าวในประเทศไทยเป็นแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย ได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายของไทย มีสิทธิสวัสดิการรายได้ที่เหมาะสม และเป็นธรรม
สำหรับการเปิดศูนย์แรกรับเข้าทำงานและสิ้นสุดการจ้างจังหวัดระนองในวันนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาแรงงานในภาคประมงทะเล ทั้งเรื่องของความต้องการแรงงาน และการคุ้มครองแรงงาน ซึ่งกระทรวงแรงงานได้ขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาโดยมีแนวทางการนำเข้าแรงงานต่างด้าวในระบบ MOU ทั้งนี้ ศูนย์แรกรับเข้าทำงานและสิ้นสุดการจ้างจังหวัดระนองแห่งนี้จะเป็นศูนย์ฯ รับแรงงานเมียนมา เข้าทำงานในภาคประมงทะเล เป็นการเฉพาะ สอดรับกับการหารือร่วมกันของไทย- เมียนมา ซึ่งจะส่งแรงงานเข้าทำงานทางเกาะสอง ของเมียนมา อันจะเป็นประโยชน์ ในการลดขั้นตอน เกิดประสิทธิภาพของการจัดส่ง และรับแรงงาน ความสะดวกในการติดต่อสื่อสารของนายจ้าง ผู้ประกอบการ กับแรงงาน ในขั้นตอนต่างๆ เป็นศูนย์ที่รองรับแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานอยู่ในประเทศไทยตามระบบ MOU โดยเป็นสถานที่อบรมให้ความรู้ด้านต่างๆ แก่แรงงานต่างด้าว เช่น การทำงาน กฎหมายต่าง ๆ การใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทย เป็นต้น ตรวจสอบและคัดกรองแรงงานต่างด้าวว่ามีนายจ้างจริงตรงตามสัญญาจ้าง และมีความพร้อมที่จะทำงานก่อนอนุญาตให้เข้ามาทำงานในประเทศไทย รวมทั้งประสานงานให้ความช่วยเหลือ และอำนวยความสะดวกแก่นายจ้างและแรงงานต่างด้าวเกี่ยวกับการดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญาจ้าง ตั้งอยู่เลขที่ 89/227 หมู่ 1 ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดระนอง สามารถรองรับการให้บริการแรงงานต่างด้าวในการอบรม และออกใบอนุญาตทำงานแบบอิเล็กทรอนิกส์(E-WORKPERMIT) ประมาณ 1,200 คนต่อวัน บนเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่เศษ อยู่ใกล้ท่าเทียบเรือที่แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาใช้ในการเดินทางระหว่างจังหวัดเกาะสอง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และจังหวัดระนอง ประเทศไทย ประมาณ 1.5 กิโลเมตร ซึ่งระบบการทำงานของศูนย์แรกรับฯ นี้ จะเป็นรูปแบบของ ONE STOP SERVICE คือ แรงงานเดินทางเข้ามาจะได้รับ 1) การตรวจลงตรา Visa 2) ลงทะเบียนประวัติแรงงาน 3) เข้ารับการอบรมตามแนวทางการทำงานในภาคประมงทะเล สิทธิสวัสดิการ และ 4)ได้รับการอนุญาตทำงานจากกระทรวงแรงงาน ซึ่งทำให้มีความพร้อมที่จะไปขอรับใบอนุญาตทำงานในภาคประมงทะเล (Sea Book) จากกรมประมง นอกจากนี้ยังมีการใช้ระบบ IT เข้ามาช่วยในเรื่องของการติดตามนัดหมาย การยืนยันจำนวนแรงงาน เที่ยวเรือในแต่ละวัน เกิดความสะดวก รวดเร็ว ไม่มีแรงงานตกค้าง นายจ้างสามารถมารับแรงงานได้ตรงตามเวลานัดหมาย
รมว.แรงงาน กล่าวต่อว่า วันนี้มีแรงงานต่างด้าวในกิจการประมง นำเข้าตาม MOU จำนวน 67 ราย นายจ้าง จำนวน 19 ราย เป็นนายจ้างจากจังหวัดชุมพร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และสุราษฎร์ธานี และต้องขอบคุณนายเต็ง ส่วย รัฐมนตรีแรงงานฯ และคณะ ที่ได้ขับเคลื่อนงานให้เกิดผลสำเร็จครั้งนี้ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และหวังเป็นอย่างยิ่งถึงเป้าหมายสำหรับผู้ประกอบการของไทยในความต้องการแรงงานเมียนมาภาคประมงทะเล อีกกว่า 42,000 คน จะได้รับการสนับสนุนให้เข้ามาทำงานอย่างต่อเนื่อง ต่อไป
โดย admin | ก.ย. 10, 2018 | ข่าวสาร
วันที่ 10 กันยายน 2561 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบป้ายส่วนต่อเติมอาคารเรียนชั้นล่าง โรงเรียนวัดศิริมงคล อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นโรงเรียนต้นแบบในการจัดการศึกษาสำหรับนักเรียนไร้สัญชาติไทย พร้อมย้ำนโยบายประชารัฐ เปิดโอกาสให้เรียนร่วมกับเด็กไทย สร้างความเสมอภาคเท่าเทียม ทั่วถึงและเป็นธรรมในสังคม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของแรงงาน
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้ภาคเอกชนซึ่งเป็นนายจ้างหรือผู้ประกอบการที่จ้างแรงงานต่างด้าวให้การดูแลลูกจ้างแรงงานต่างด้าวอย่างเท่าเทียมกับแรงงานไทย ซึ่งการดูแลลูกๆ ของแรงงานต่างด้าว โดยให้พวกเขาได้มีโอกาสเข้าเรียนในโรงเรียนของไทยร่วมกับเด็กไทยนั้น ก็เป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้แรงงานต่างด้าวและครอบครัว เป็นนโยบายประชารัฐ สำหรับการมอบป้ายส่วนต่อเติมห้องเรียนในวันนี้ เป็น “โครงการปันฝัน ปั้นยิ้ม” ซึ่งบริษัทเบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ร่วมกับเครื่องสำอาง “มิสทีน” ร่วมให้ความอนุเคราะห์สนับสนุนในการก่อสร้างส่วน ต่อเติมอาคารเรียนชั้นล่าง จำนวน 3 ห้องเรียน ณ โรงเรียนวัดศิริมงคล อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นโรงเรียนต้นแบบในการจัดการศึกษาสำหรับนักเรียนไร้สัญชาติไทย
โรงเรียนวัดศิริมงคล เปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล-ประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียน 150 คน ข้าราชการครู 9 คน ครูอัตราจ้าง 3 คน ครูพี่เลี้ยงเด็กเมียนมา 1 คน และลูกจ้าง 1 คน เป็นโรงเรียนที่เปิดโอกาสให้นักเรียนที่ไม่มีทะเบียนราษฎร์หรือสัญชาติไทยเข้าเรียนร่วมกับเด็กไทย เด็กส่วนใหญ่มีสัญชาติเมียนมา มอญ กะเหรี่ยง ไทยใหญ่ ที่ติดตามผู้ปกครองมาใช้แรงงานในภาคเกษตรหรือเรียกว่าเด็กชนเผ่า (เด็กชายขอบ) และอีกกลุ่มเป็นกลุ่มของลูกแรงงานต่างด้าว ซึ่งกลุ่มนี้มีจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและใช้ภาษาชาติพันธุ์ในการศึกษา ไม่มีพื้นฐานทางภาษาไทย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมด้านภาษาไทยให้กับเด็กก่อนที่จะเข้าไปเรียนร่วมกับเด็กไทยในชั้นปกติด้วยหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการเช่นเดียวกับโรงเรียนทั่วไป ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นแนวทาง “ประชารัฐ” ที่ภาครัฐได้ร่วมกับภาคเอกชนและภาคประชาสังคมในการดูแลครอบครัวแรงงานต่างด้าว ให้ได้รับการคุ้มครอง การปฏิบัติเช่นเดียวกับคนไทย เพื่อพวกเขาจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความสุขตลอดระยะเวลาที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย
รมว.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า จังหวัดสมุทรสาคร มีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับใบอนุญาตทำงาน จำนวน 277,898 คน แบ่งเป็น กลุ่ม BOI จำนวน 123 คน กลุ่มทั่วไป จำนวน 3,419 คน ชนกลุ่มน้อย จำนวน 5,794 คน กลุ่ม MOU จำนวน 80,855 คน กลุ่ม พิสูจน์สัญชาติ จำนวน 120,553 คน กลุ่มตามมติ ครม. 16 มกราคม 2561 ที่ได้รับการปรับปรุงทะเบียนประวัติ และตรวจลงตรา (VISA) และขออนุญาตทำงานถึง 31 มีนาคม 2561 ณ ศูนย์ OSS จำนวน 67,154 คน ส่วนกลุ่มตามมาตรา 83 แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ ที่กำลังดำเนินการขยายระยะเวลาการทำงานออกไปอีก 2 ปี มีจำนวน 282 ราย ขณะนี้มาดำเนินการแล้ว 175 ราย และต้องขอขอบคุณภาคเอกชนเจ้าของสถานประกอบการที่ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของลูกจ้างต่างด้าว ซึ่งจะเป็นต้นแบบตัวอย่างที่ดีให้กับภาคเอกชนอื่นๆ ต่อไป